ประวัติไค ฮาแวร์ตซ์

ประวัติไค ฮาแวร์ตซ์ 

ชื่อเต็ม :: ไค ลูคัส ฮาแวร์ตซ์ 
เกิด :: 11 มิถุนายน 1999 (ปัจจุบันอายุ 22 ปี)
สถานที่เกิด :: อาเคิน ประเทศเยอรมนี
สโมสรปัจจุบัน :: สโมสรเชลซี
ทีมชาติ :: เยอรมนี

ตำแหน่ง :: กองกลางตัวรุก / ปีก
หมายเลขที่ใช่ในสโมสร :: 29

Full Name :: Kai Lukas Havetz
Date of Birth :: 11 June 1999 (Age 22)
Place of Birth :: Aachen,Germany
Height :: 1.88 m (6 ft 2 in)
Position(s) :: ST/CAM
Current Team ::
Chelsea

ประวัติไค ฮาแวร์ตซ์

ไค ฮาแวร์ตซ์ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะเยอรมันที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดหลังจากที่เจ้าตัวได้แจ้งเกิดผลงานกับทาง บายเออร์ เลเวอร์คูเซ่น โดยเขาได้สร้างสถิติต่างๆไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การคว้าตำแหน่งนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในศึกบุนเดสลีก้า ครบ 100 นัด โดยสถิติเก่าที่เคยสร้างไว้คือ ติโม แวร์เนอร์  เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งผู้หลักและยังถือว่าเป็นกองกลางตัวรุก มีการจ่ายบอลที่แม่นยำและผ่านทะลุทุกช่อง และยังมีความสามารถในการครองบอลในพื้นที่แคบ ๆ และยังแย่งบอลคืนจากพื้นที่ส่วนบนของสนาม นอกจากนี้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ยังสามารถที่จะเล่นทางกราบข้าง หรือบางที่ก็เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวกลางได้อีกด้วย

ไค ฮาแวร์ตซ์ นักเตะดาวรุ่งเมืองเบียร์ ที่มาพร้อมส่วนสูง 189 เซนติเมตร แถมยังมีความเร็วและเทคนิคการเล่นบอลที่ยอดเยี่ยม

เจอกับความยากลำบากมามากมายในช่วงแรกที่เขามาค้าแข้งในเกาะอังกฤษ โดยเจ้าตัวต้องปรับตัวให้เข้ากับประเทศใหม่ที่ยังอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคไวรัส นอกจากนี้เขายังมีเรื่องของอาการบาดเจ็บที่ตามมารบกวน แต่ก็ยังสามารถฟันฝ่ามาได้จนยุติซีซั่นด้วยโมเม้นต์ที่สุดแสนจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพการค้าแข้ง

ไค ฮาแวร์ตซ์ ในฤดูกาล 2020/21

หลังจากเรื่องราวของความกังวัลเรื่องสภาพความฟิตและความพร้อมของตัวเขาเอง ก็ได้กลายเป็นแค่อดีตไป เมื่อความสามารถสารพัดประโยนช์ในการเล่นเกมรุกของตัวเขาได้กลายเป็นการเล่นเกมรุกของเจ้าตัวและยังถือเป็นส่วนสำคัญของเขาต่อความยืดหยุ่นในด้านแท็คติกส์ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การคุมทัพของ โธมัส ทูเคิ่ล ในช่วงท้ายฤดูกาล 2020/21 และสิ่งที่ยังนอกเหนือจากการมีส่วนร่วมกับ 20 ประตูและแอสซิสต์ของเขา แต่ก็ยังมีฟอร์มการเล่นที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ โชว์ผลงานกับการแข่งขันนัดที่เจอกับ เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก อีกด้วย
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมาร่วมทัพสิงห์โตน้ำเงินครามได้เพียง 10  วันก่อนการแข่งขันในเกมนัดแรกของฤดูกาล ซึ่งมันส่งผลให้เขามีช่วงเวลาที่น้อยมากแต่สำหรับ ไค ฮาแวร์ตซ์ ก็ยังได้ลงเล่นในทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ทันทีในนัดเปิดสนามที่ เชลซี พบกับ ไบรท์ตัน เขาลงตัวจริง 9 จาก 10 นัดการแข่งขันในเกมแรกของ เชลซี ทุกรายการ และมีผลงานการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมกับ เชลซี สิ่งต่างๆรวมไปถึงการยิงประตูชัยในการแข่งขันรายการนัดชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมป์เปีัยนส์ ลีก

ไค ฮาแวร์ตซ์ ก่อนที่จะย้ายมาร่วททัพกับ เชลซี

หลังจากที่เจ้าตัวเคยไปฝึกกับทีมในท้องถิ่นในลีกล่างอย่าง อเลมานเนีย มาเรียดอร์ฟ และอเลมานเนีย อาเค่น ซึ่งเป็นหนึ่งสโมสรหลักที่คุณปู่ของเขารับหน้าที่เป็นผู้ดูแล ไค ฮาแวร์ตซ์ โยกไปอยู่กับ บายเออร์ เลเวอร์คูเซ่นตอนนที่เขาอายุได้ 11 ปีในปี 2010 และได้เริ่มสร้างชื่อเสียงของตัวเองในทีมเยาวชนของสโมสรที่เขาได้ค้าแข้ง และยังได้รางวัลซิลเวอร์ ฟริตซ์ วอลเตอร์ เมดัลในปี 2016 โดยเป็นสิ่งที่มอบให้กับนักเตะที่ดีที่สุดในประเทศเยอรมนีซึ่งมีอายุไม่เกิน 17 ปี ไค ฮาแวร์ตซ์  ลงประเดิมสนามให้ทีมชุดใหญ่ในปีเดียวกัน และได้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดในการปรากฏตัวบนเวทีบุนเดสลีก้า ก่อนที่เขาจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ตลอดช่วงฤดูกาล 2016/17 ไค ฮาแวร์ตซ์  ลงเล่นในสนามการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก ครั้งแรกในปีดังกล่าวโดยเป็นการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่เขาดันพลาดโอกาสในการลงเล่นนัดที่สองที่จ้นสังกัดจะคว้าชัยจาก แอตเลติโก มาดริด เพราะวันแข่งขันดันชนกับวันที่เขาสอบวิชาเคมีทึ่โรงเรียนพอดี ก่อนที่การแข่งขันในฤดูกาลดังกล่าวจะจบลง เขาสามารถทำประตูแรกของตัวเองได้ในนัดที่เสมอกับ โวล์ฟสบวน์ก 3-3 จึงทำให้เขากลายเป็นนักเตะของ เลเวอร์คูเซ่น ที่มีอายุน้อยที่สุดและสามารถทำประตูในศึก บุนเดสลีก้า เยอรมนี ได้

ผลงานของ ไค ฮาแวร์ตซ์ กับทีมชาติ

ไค ฮาแวร์ตซ์ เขาเคยรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมชาติเยอรมนีรุ่นที่อายุไม่เกิน 19 ปี มาแล้ว ซึ่งเหมือนกับการประเดิมลงเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนีชุดใหญ่โดยได้ลงเล่นแทนที่ของ ติโม แวร์เนอร์ ในเกมการแข่งขันนัดอุ่นเครื่องกับทีมชาติ เปรู เมื่อปี 2018 ก่อนที่เจ้าตัวจะสามารถทำประตูแรกให้กับทีมชาติชุดใหญ่ เกมที่ เยอรมนี เสมอ อาร์เจนติน่า 2-2 ใน 1 ปีหลังจากที่เดบิวต์กับทีมชาติและเมื่อเขามีชื่อติดทีมชาติลุยศึกยูโร 2020 และยังสามารถยิงประตูได้ 2 ลูกในเกมการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มกับทีมชาติโปรตุเกสและฮังการี พวกเขาต้องตกรอบรายการดังกล่าวจากน้ำมือของทีมชาติอังกฤษที่สนามเวมบลีย์ในรอบ 16 ทีม

error: Content is protected !!